ชมรมธุรกิจร้านอาหาร เฮ รอมา 5 ปี ปลดล็อกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร 14.00 – 17.00 น.
เมื่อวันที่ 11 กันยายน นายสรเทพ โรจน์พจนารัช ประธานชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร หมายรวมไปถึง ที่ปรึกษากิติมศักดิ์สมาคมโฮสเทลประเทศไทย กล่าวว่า ขอขอบคุณคณะรัฐบาลทั้งฝ่ายบริหารประกอบกับฝ่ายค้านชุดที่แล้ว ที่รับฟังเสียงผู้ประกอบการช่วยปลดล็อกขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ในช่วง 14.00-17.00 ชั่วโมง เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมไปถึงเป็นการแก้กฏหมายที่ล้าหลังให้เข้ากับยุคสมัย ขอชื่นชมในด้านวิสัยทัศน์ประกอบไปด้วยการเข้าใจบริบทของกฎหมายที่ล้าหลังโดยเฉพาะเป็นคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 ซึ่งใช้มายาวนานกว่า 53 ปี
ซึ่งทางชมรมได้เรียกร้องมาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ในเรื่องของการยกเลิกคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 ที่ไม่ให้จำหน่าย แอลกอฮอล์ ในร้านอาหารในช่วงเวลา 14.00 น.-17.00 น.
ซึ่งวัตถุประสงค์ของคณะปฏิวัติ 2515 อันนี้ เดิมที่ประกาศออกมา ความหมายไม่ต้องการให้ข้าราชออกไปนั่งดื่มในเวลางาน ซึ่งใช้กันมา 53 ปี ซึ่งบริบททางสังคมนั้นเปลี่ยนไปอย่างมากในปัจจุบัน
ทางชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร ได้เรียกร้องไปก่อนหน้านั้นหลายครั้งว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เปลี่ยนมาเป็นประเทศที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวรวมถึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดในโลก รวมถึงเป็นจุดหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่อยากเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว บริบทอันนี้ไม่สามารถนำไปใช้กับคำสั่งคณะปฏิวัติ 2515 เรื่องห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหาร 14.00 น.- 17.00 น. อีกต่อไป
ทางชมรมผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารเข้าใจว่ามีหลายหน่วยงานมีความกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อเยาวชน ซึ่งทางชมรมได้เขียนหมายรวมไปถึงอธิบายตลอดว่า เราขอเรียกร้องให้กับเฉพาะกลุ่มธุรกิจที่เป็นร้านอาหารเพียงแค่นั้นที่ให้ยกเลิกการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00 น.-17.00 น. รวมทั้งมั่นใจว่าจะไม่มีผลกระทบต่อเยาวชนใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเรามีกฎหมายในการดูแลหลายฉบับทับซ้อน ตัวอย่าง ไม่ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในกับผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์ กฎหมายเมาแล้วขับก็ครอบคลุมในส่วนตรงนี้อยู่แล้ว
ที่สำคัญตนได้เน้นย้ำตลอดว่าไม่มีอะไรดีไปกว่าการปลูกจิต สำนึกแล้วก็ให้ความรู้แก่ประชาชน ซึ่งมันดีกว่าการเอากฎหมายมาครอบ ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถ ค้าขายได้ตามสภาพประเทศแห่งการท่องเที่ยว หรือตามยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
ตัวอย่าง ตนเองเกิดมาในยุค Gen X จะคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “ตาวิเศษเห็นนะ” ซึ่งเป็นแคมเปญใหญ่ในการรณรงค์ต่อเนื่องกันมาหลาย 20 ปี ในเรื่องไม่ให้คนไทยทิ้งขยะบนท้องถนน เป็นการปลูกจิตสำนึก ซึ่งฝังไปในจิตสำนึก จนมาถึงรุ่นปัจจุบันจนทำให้บ้านเมืองสะอาดจนถึงทุกวันนี้ เช่นเดียวกันกับที่ตนเคยพูดว่า ต้องขอบคุณ สสส.ที่ทำแคมเปญใหญ่เมาไม่ขับมาตลอดระยะเวลา 10 กว่าปี ทำให้ประชาชนมีจิตสำนึก เมาไม่ขับ
ที่สำคัญหากปลดล็อกคำสั่งคณะปฏิวัติฉบับนี้ไปได้ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในกับกลุ่มภาคธุรกิจร้านอาหารให้สามารถเติบโต ร่วมกับเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง GDP ให้กับประเทศไทยสามารถเติบโตได้ในปีนี้ รวมทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวให้กับประเทศไทยอีกทางหนึ่งด้วย เพราะทุกวันนี้ต่างชาติเมื่อเข้าไปร้านอาหารวัตถุประสงค์หลักไม่ใช่เข้าไปดื่มแอลกอฮอล์แต่อยากเข้าไปทานอาหาร นักท่องเที่ยวเหล่านี้ก็ต้องการสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาทานควบคู่ไปกับการทานอาหารด้วย พอมีกฎหมายฉบับนี้ที่ห้ามขาย นักท่องเที่ยวตัดสินใจไม่เข้าร้านในช่วง 14.00 น. – 17.00 น. ไปเข้าอีกทีคือช่วงเย็น ซึ่งทำให้ 14.00-17.00 เป็นช่วงที่ร้านอาหารค่อยข้างจะเงียบเหงาร่วมด้วยไม่สามารถทำรายได้ได้ บวกกับยังสร้างความมึนงง แล้วก็ไม่เป็นมาตรฐานสากลในกับนักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วโลก
“ขอขอบคุณที่เข้าใจในเรื่องของข้อเรียกร้องที่ชมรมได้เรียกร้องมาโดยตลอด รวมไปถึงเข้าใจในเรื่องของบริบทรวมทั้งกฎหมายที่ล้าหลังกับบริบทของประเทศในปัจจุบัน ขอขอบคุณคณะรัฐบาลทั้งฝ่ายบริหารรวมไปถึงฝ่ายค้านชุดที่ผ่านมาอีกครั้ง”
ปลดล็อกขายดริงก์ 3 ชั่วโมง เพิ่มรายได้อีก25%
นายสรเทพ กล่าวต่อว่า หลังจากมีการปลดล็อกเวลาห้ามจำหน่าย 15.00-17.00 น. จะทำให้ธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม ร่วมกับธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวโยง มีรายได้ยอดขายเพิ่มอีก 20-25% เนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาตลอดทั้งปี บวกกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารในช่วงบ่ายๆ และมักสั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์มารับประทานพร้อมอาหาร ซึ่งที่ผ่านมามักมีข้อโต้เถียงหรือแสดงความไม่พอใจของนักท่องเที่ยว บางส่วนเลิกสั่งอาหารในช่วงนั้นเลย เป็นการเสียโอกาสการค้าอย่างมาก ทำให้ผู้ประกอบการเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนมาตลอด
“อีกทั้งมีผลดีต่อธุรกิจขนาดเล็ก ซึ่งในวันนี้มีคาเฟ่ขนาดเล็ก เปิดตัวมากในไทยร่วมด้วยมีคราฟเบียร์ไว้บริการ ซึ่งในวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ ก็จะมีคนไทยรวมไปถึงต่างชาติเข้าไปใช้บริการ ที่กังวลว่าวัยรุ่นหรือหนุ่มสาวจะดื่มกันมากๆ ต้องบอกว่าคราฟเบียร์ ราคาค่อนข้างสูง ขวดเล็กๆก็ 200-300 บาท จะสั่งดื่มกันเป็นโหลคงไม่ใช่ เพราะจะเสียเงินมาก เป็นการดื่มเพื่อพูดคุยกันแบบสบายๆมากกว่า แต่ในร้านก็จะขายอาหาร ขนม หรือ เครื่องดื่มอื่นๆได้อีก ส่วนนี้จะสร้างรายได้อีกมหาศาล เป็นช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีกทาง” นายสรเทพ กล่าว

เนื้อหาเรียบเรียงใหม่จากต้นฉบับข่าวทาง มติชนออนไลน์ อย่าพลาดเรื่องราวใหม่ ๆ จากทางเรา ที่เดียว คนเขียนบล็อก รวมเนื้อหาสำหรับคนที่สนใจในการเขียนบล็อก ทำเว็บ